วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

กินแบบไหนเป็นประโยชน์


นักวิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้า รู้ได้ว่า สารใดเป็นประโยชน์ อวัยวะส่วนใด ต้องการสารอาหารชนิดใด

อาทิเช่น สมอง มีความต้องการ สารโอเมก้า ๓ เพื่อใช้ในการพัฒนาของสมอง

ผลก็คือ บรรดาผู้ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็พยายามทำให้ผลิตภัณฑ์ของตน มีสารนั้นๆ เพิ่มเข้ามา ไม่เว้นแม้แต่เครื่องดื่มชูกำลัง

หากแต่การที่สารดังกล่าวไม่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ดั่งเดิม นั่นหมายความว่า การจะเพิ่มเติมเข้าไป มักจะได้มาจากการสกัด แล้วใส่สารลงไปในผลิตภัณฑ์นั่นเอง

เฉกเช่น สารที่ใช้ในการรักษาโรค ก็ใช้กรรมวิธีการสกัด แล้วทำเป็น ยาเม็ด ยาน้ำ ให้ทานเข้าไป

หลวงพ่อนิพนธ์เรียกกรรมวิธีแบบนี้ว่า การปีนรั้วเข้าบ้าน ไม่เข้าทางตรอก ออกทางประตู

นั่นหมายความว่า การที่จะเข้ามา ย่อมต้องทำลายปรากการของร่างกายก่อน จึงเข้ามาได้

การที่จะให้ร่างกายได้รับสารดังกล่าว จึงต้องแลกกับการเสียไป ของปราการของร่างกาย นั่นคือ การทำลายภูมิของร่างกายนั่นเอง

เรียกผลอันนี้ว่า "ผลข้างเคียง" จากการกินสารสกัดนั้นๆ

วิธีการที่ดี และปลอดภัย ตามธรรมชาติ นั่นคือ การได้มาซึ่งสารนั้น โดยการสกัดของร่างกายเอง

แลวัตถุดิบที่จะให้สารนั้น ต้องมาจากธรรมชาติ แล้วผ่านกระบวนการย่อย จนได้มาซึ่งสารนั้น แม้นว่าจำนวนที่ได้จะน้อยนิด หากแต่คุณค่า มากกว่าการทานสารสกัดลงไป เป็นร้อย เป็นพันเท่า

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นชัดมากขึ้น เช่น สารขม ในพืช เมื่อผ่านกระบวนการย่อย จะได้มอร์ฟีนธรรมชาติ ช่วยให้เบาเทาอาการปวดได้ ดีกว่าการใช้มอร์ฟีนสกัด ที่จะทานหรือฉีดเข้าไปมากมายนัก

ดังจะเห็นว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการปวด การฉีดมอร์ฟีนน้ำ อาจจะไม่สามารถช่วยระงับการปวดได้ แต่การทานสมุนไพรเขียวที่ปริมาณมากพอ จะทำให้การปวดนั้นลดลงได้ หากทานไปนานๆ ก็ทำให้ไม่ปวดเลย อันจะเห็นได้จากคนไข้ระยะสุดท้าย ที่มา แม้นจะช่วยตนไม่ได้ แต่ก็ไม่ทรมาน

อ.อร่าม เล่าให้ฟังว่า นักวิจัยสองท่านที่ได้รับรางวัลโนเบล เพียงแค่ค้นพบว่า โปรตีนที่ร่างกายส่งไปยังส่วนต่างๆ จะมีการเข้ารหัส เพื่อให้การส่งไป สามารถไปยังเป้าหมายที่ร่างกายต้องการได้

อ.อร่าม กล่าวว่า เรื่องแบบนี้ หลวงพ่อนิพนธ์คุยให้ฟัง ตั้งแต่เริ่มมาใหม่ๆ เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ว่า เหตุที่ต้องให้ท้องย่อย ก็เพราะ เมื่อร่างกายเกิดวิกฤต สมองจะสั่งการ เมื่อท้องได้รับวัตถุดิบ ก็จะเข้ารหัส เสมือนแม่กุญแจ แล้วส่งไปตามร่างกาย เมื่อถึงเป้าหมาย ที่มีรหัสตรงกัน ร่างกายก็จะปล่อยผ่าน ให้เข้าไป นั่นคือ ผ่านภูมิคุ้มกันในส่วนของอวัยวะนั้นๆ ได้สะดวก หนังจีนมักพูดว่า รหัสถูกต้องเป็นพวกเดียวกัน ให้ผ่านได้นั่นเอง

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้นสารสกัดจะเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไร้รหัส จึงเข้าสู่จุดอวัยวะที่ต้องการไม่ได้ นี่เองเป็นจุดอ่อนของยารักษาโรค ที่ทำไมจึงไม่มียารักษาโรค ก็มันเข้าไม่ถึง หากแต่เป็นสารที่ร่างกายสกัดเอง จึงจะเข้าถึงโรคที่เป็นปัญหาของร่างกายได้ ...

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงเป็นเพียงวัตถุดิบ ที่ป้อนเข้าร่างกาย แล้วต้องผ่านกระบวนการย่อย จึงจะกลายเป็นยารักษาโรค

จากความรู้นี้เอง หากจะทานสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย อะไรที่ได้ชื่อว่าเป็นสารสกัด ... นั่นคือผิดธรรมชาติ ร่างกายจะปฏิเสธ

มิเพียงเสียเปล่า หากแต่สารสกัดเหล่านี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว กลายเป็นขยะลอยไปมา และทิ้งตัว สร้างมลภาวะให้แก่ร่างกายอีก เพราะ สารสกัดเหล่านี้ ไม่มีสถานีปลายทางที่แจ้งให้ร่างกายรู้ว่า มันต้องไปยังที่ใดนั่นเอง

นักวิทยาศาสตร์ก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้น สิ่งที่ทำ จึงไม่ใช่ยารักษาโรค หากแต่เป็นการบอมบ์ประสาทส่วนนั้น ไม่ให้รู้สึก โดยส่งผ่านด้วยวิธีการทำลายภูมิ

ปวดหัว ก็ทำให้ประสาทส่วนนั้นชา แต่แก้ต้นเหตุ หรือรักษาโรคไม่ได้ ผลก็คือ อาการปวดจะหายไปในทันทีที่ฤทธฺ์ยาทำงาน หากแต่เมื่อหมดฤทธิ์ยา อาการปวดจะกลับมาทันทีเช่นกัน เพราะต้นเหตุ หรือ โรคมันยังอยู่

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ความต้องการรักษาโรค จึงไปหาหมอ หากแต่ความจริงที่ประสพ คือ การระงับ ผลก็คือ ทำไมจึงต้องทานยาไปเรื่อยๆ

แลผลจาการทำลายภูมิด้วยยาตัวแรกนี้เอง ทำให้เกิดโรคที่สองที่สาม ตามมา ... ยิ่งรักษา โรคยิ่งเพิ่ม ของเก่าไม่หาย ของใหม่มาสมทบ

ธรรมชาติ เขากำหนด สิ่งที่มีคุณไม่มีโทษ คือ ปัจจัยสี่ อะไรที่ไม่ได้มาตามธรรมชาติ เมื่อนำเข้าสู่ร่างกาย นั่นคือ การชักศึกเข้าบ้าน

การปฏิเสธ ไม่ทานนั่น ไม่ทานนี่ เช่นไม่ทานเนื้อ ... ไม่กินน้ำกระดูกหมู ... ก็คือ การไม่ป้อนวัตถุดิบ แล้วร่างกายจะเอาสารที่ไหนไปป้อนแก่ร่างกาย .... เหมือนคนไม่กินผัก ไม่ทานของขม ... เวลาร่างกายเกิดการปวด จะเอามอร์ฟีนที่ไหนไปช่วยได้เล่า

มาเจออีกที สมุนไพรเขียว ที่ต้องอัดสารขม ทีเดียวมากๆ เป็นวัตถุส่งให้ดี ให้ตับอ่อน ผลิตสาร และฮอร์โมน เพราะร่างกายมันขาดมานาน

ทานสมุนไพรอย่างเดียวไม่พอ อยากช่วยตน ก็ช่วยทานอาหารให้ครบห้าหมู่ อย่าทานแต่ที่ชอบ ทานด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ด้วยความชอบ

คนอิสลามเป็นโรคกระดูกมา หลวงพ่อนิพนธ์ยังต้องให้ทาน สมุนไพรกระดูกหมู หรือ ขาตั๊ง เลย ถ้าอยากหาย

การใช้แนวทางสมุนไพรวิธีนี้ จึงไม่มีของแสลง .. มีแต่ยิ่งเป็น ยิ่งต้องทาน อ.อร่ามจึงมักบอกว่า เป็นเบาหวาน ก็ต้องทานของหวาน เป็นเก๊าต์ ก็ต้องทานสัตว์ปีก เป็นไต ก็ต้องทานเค็ม ...

เขาใช้คำว่า "ต้องทาน"

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44