วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สู้กับกรรม สู้กับโรค


จุดเริ่มที่แตกต่างอย่างเด่นชัด ที่พระภูมี ทรงชี้ให้เห็น แลหลวงพ่อนิพนธ์เน้นย้ำว่า คู่ต่อสู้ที่แท้จริงมิใช่โรค หากแต่เป็นกรรม ที่เราท่านทำมาต่างหาก

แนวทางนี้ จึงเริ่มต้นคำสอนที่ว่า ความคิดใดๆในโลก ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดที่มีรากฐานมาแต่กรรม จะนำมาใช้ซึ่งการรักษาโรค รักษากรรมไม่ได้เลย

วิทยากรจึงกล่าวบ่อยๆในการบรรยายแก่สมาชิกใหม่ ว่า หากพร้อม ก็ควรเลิกเสียทั้งหมด ในวิธีการเดิมๆ ไม่ว่าจะยาเคมี สมุนไพรอื่นๆ ลัทธิ พิธีกรรม ชีวจิต มังสวิรัต กินเจ รวมไปถึงอาหารเสริมทุกขนาน เพราะสิ่งนั้น มิเพียงไม่ช่วยให้หายโรค แต่ยังอาจสร้างโรคใหม่ให้เกิดขึ้นได้ อันหมายถึงไม่ช่วยยังซ้ำให้อาการหนักขึ้นไปอีกนั่นเอง

คำถามที่มักย้อนแย้งมาเสมอ นั่นคือ ทำไมมีคนหายด้วยวิธีเหล่านั้นให้เห็นเล่า หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบายให้ฟังว่า ก็ด้วยคนผู้นั้น ยังมีพรหมลิขิตนั่นเอง เมื่อยังไม่ถึงที่ตาย ไม่ต้องยาเม็ดละล้านหรอก แค่เม็ดละบาท ก็รอด

ปัญหาก็คือ เราท่านพรหมลิขิต ดีอย่างเขาหรือไม่นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้จุดให้ดูว่า เพราะมนุษย์เกิดมาต่างกรรม ต่างวาระ จึงจะเอาเหมือนกันไม่ได้

พวกที่โลภ เห็นความอยากตรงนี้ จึงเอามาเป็นจุดขาย ดูซิ คนนั้นทำอย่างนี้หายเห็นไหม ... แต่ความจริงมันใช้ไม่ได้กับทุกคน เรียกว่าไม่มีมาตรฐาน

สิ่งที่ช่วยได้จริง ต้องมีมาตรฐาน ผู้ใดทำเหมือนกัน ย่อมได้ผลเฉกเช่นเดียวกัน

แลย้อนกลับมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า โลกนี้แต่โบราณกาล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า หนทางเดียวที่จะชนะโรค ชนะกรรม นั่นคือ ต้องใช้ "ธรรม"

ทีนี้มาพิจารณาในรายละเอียด หลวงพ่อนิพนธ์ก็สอนว่า ด้วยเราท่าน ต่างกรรม ต่างวาระ เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง ต้องพิจารณาความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความอยาก

หลายคนมาสถานที่นี้ เขาอาจไม่ต้องทำอะไรมาก แค่มาสวดมนต์ เข้ากระโจม ทานสมุนไพร ก็ช่วยตนได้แล้ว เราเห็นเราก็ทำตาม แต่เขาหาย เราไม่หาย นี่แหละไม่พิจารณาตน

คนที่เอาเหตุเอาผล แลฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์นำมาพิจารณา ก็ต้องได้คิดว่า เพราะกรรมของเรามันหนัก สาหัสกว่าผู้นั้นนั่นเอง การกระทำที่เราทำมันจึงไม่พอที่จะช่วยตน

ก็ต้องสร้างตัวกระทำที่มากกว่าเดิม อาศัยธรรมนำตน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ช่อง ให้ว่า ก็ให้มีสติ รักษากรรมฐาน คือ ความสงบ ใน ๓ สถานที่ นั่นคือ ห้องสวดมนต์ ห้องอบ และขณะรับสมุนไพร

เมื่อเรียนก็ต้องสอบ เมื่อสอบ ก็ดูผล เมื่อทำตามคำสอนแล้ว ยังเอาไม่อยู่ หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า ก็ต้องเริ่มใส่ยาแรงขึ้น นั่นคือ การเสียสละ ทำตนเป็นพระเวสสันดร ด้วยการเป็นจิตอาสา ให้สุขแก่ผู้อื่น

ยายังแรงไม่พอ อาสาแล้วก็ยังกระเตื้องยาก ก็ต้องเพิ่มธรรมหมวดใจเข้ามาประกบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เราทำใจ "ไม่โกรธ ไม่เห็นผู้อื่นผิด และไม่ติเดียนผู้อื่น" สักวันละชั่วโมงสองชั่วโมง ตามแต่กำลัง

หากแต่ว่ากรรมที่ทำมามันแรงนัก ขั้นตอนพิธีกรรม ที่กระทำที่มูลนิธิ ก็ยังหยุดไม่อยู่ ทีนี้ก็ต้องเพิ่มความเข้มข้น หาเวลามาสร้างตัวกระทำที่มีน้ำหนัก เลียนแบบพระนั่นคือ มีการกระทำ กาย วาจา ใจ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง สักระยะหนึ่ง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเปิดให้มีการมาบวชชี หรือ มาพักอาศัยที่วัด อันจะทำให้มีกิจกรรมมากขึ้น และตลอดวัน ไม่ว่า ทานมื้อเดียว หรือ สองมื้อ มีการสวดมนต์ เช้า เย็น มีการสละแรงกายเป็นทาน มีการกระทำใจ แลมีการกระทำสนับสนุนเกื้อกูลพระ

คนส่วนใหญ่ หากมาถึงระดับนี้ ก็เรียกได้ว่า สามารถช่วยตนได้แล้ว หากแต่กรรมของตนถึงขั้นสาหัสสากรรจ์ เรียกว่า เอากันถึงตาย ในปัจจุบันทันด่วน ทั้งที่ยังไม่ครบพรหมลิขิต ก็ต้องใช้วิธีการที่เด็ดขาด ให้ผลเฉียบ่พลัน นั่นคือ การบวช

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเคล็ดว่า เมื่อกรรมจะทำให้เราตาย พระภูมีก็อาศัยธรรมวินัย ทำให้เราตายก่อน เพื่อใช้กรรม

การบวช เป็นการละทางโลก ทิ้งทางโลกไปทั้งหมด มาถือวินัย ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ มีธุดงค์เป็นวัตร นั่นก็เหมือนตัดขาดทางโลก คือ ตายจากโลก ทั้งที่ยังมีชีวิตนั่นเอง

การบวช จึงเป็นวิธีการที่เรียกว่า โหดสุด ทำได้ยาก แต่ก็สมน้ำสมเนื้อ สำหรับผลที่พึงได้ หากไม่ถึงพรหมลิขิต หนทางนี้ หลวงพ่อนิพนธ์มั่นใจเสมอมาว่า ไม่ว่าโรคอะไร ใครทำได้ รอดแน่นอน

หนทางสู้โรค ในอนาคต จึงแบ่งแยกคนออกเป็นสี่กลุ่ม

ใครไม่อยากทำอันใดเลย ก็สวดมนต์รอบสอง ฟังบ้าง คุยบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้าง อ่านหนังสือ ทำความอยากของตน ก็เข้ากลุ่มนี้ไป

ใครที่อยากช่วยตน โดยสร้างตัวกระทำมากขึ้นหน่อย ก็เริ่มมาเข้าสูตร ๓ สงบ ของหลวงพ่อนิพนธ์ เริ่มจากการเข้าสวดมนต์รอบแรก ด้วยความสงบ มีสติ รักษากรรมฐาน เน้นอีกนิด ก็ไปเป็นจิตอาสา

ใครที่ทำแล้ว ยังหยุดอาการไม่อยู่ หรือ อยากประสพผลเร็ว มีวันเวลา ก็ไปเข้าคอร์ส อยู่กับพระ เริ่มฝึกตนให้เป็นคนดีอย่างจริงจัง

ใครที่อยากเป็นคนดี แลอยากช่วยตนเบ็ดเสร็จ ก็ใช้วิธีการบวช เรียนธรรมคำสอน และปฏิบัติ นำมาช่วยตน เปลี่ยนตนให้เป็นคนดี ตามแนวคำสอนของพระภูมี

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์พูดให้ฟังง่าย นั่นคือ เราท่านที่มาก็มีความอยาก คือ อยากหายโรค พระภูมีทรงบัญญํติธรรมหมวดสมุนไพร ก็มีความอยาก คือ อยากให้เราท่านทำตนเป็นคนดี มีธรรมนำตน คนที่จะประสพผล นั่นก็คือ ทำความอยากของพระภูมีให้บรรลุ ทำได้แค่ไหน ความอยากของตนก็ประสพผลเท่านั้น

โรคจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ นิสัยเราท่านต่างหากที่เป็นอุปสรรคใหญ่ แลเงินหรือความร่ำรวย ไม่ใช่ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการช่วยตน คนทำนิสัยได้ เปลี่ยนตนเป็นคนดีได้ ใครทำ ใครได้

คำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนพระยามธุดงค์ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าแลสาวกไปที่ได้ สถานที่นั้นก็โล่งเตียน สวยงาม น่านั่ง ยามทำกิจธุระ ก็ขุดหลุมกลบเสียให้มิดชิด คนที่มาทีหลัง ดูแล้วก็สบาย นั่งสบาย ... แล้วเราเล่า ไปที่ใด ฉันแล้วก็ทิ้งขยะไว้ให้แก่เจ้าของที่ สมควรหรือ ส่วนเราท่าน ไปมูลนิธิ ทำเช่นไร พิจารณาก็รู้เองได้ว่าเดินตามรอยใคร


ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44