วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

รอยบรมครู

หลักของพระภูมี เชื่อในเรื่องตัวกระทำ นั่นคือ ตัวกระทำไม่ตาย จะทำสักฉันใดไม่ตายเลย

ความจริงนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า กรรมเขาเป็นพี่ เราท่านทำไว้แล้ว ตัวกระทำเป็นตนแล้ว จะปฏิเสธสักฉันใด ก็คงเป็นไปไม่ได้เลย

เมื่อตัวกระทำเป็นตน สั่งให้เป็นทุกข์ ด้วยการเป็นโรค เพื่อให้ทุกข์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า จะปฏิเสธไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ นั้นจึงเป็นไปไม่ได้

ยิ่งการจะพึ่งพาผู้อื่น ให้หายทุกข์ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะหากทำได้ คนผู้นั้นก็อยู่เหนื่อเวรเหนือกรรม ชนะกรรมได้นั่นเอง

ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมี จึงใช้การทุกข์กับวินัย ทุกข์กับการทานสมุนไพร เข้ากระโจม สวดมนต์ เพื่อทอนทุกข์ที่จะเกิด

ความสำเร็จจึงอยู่ในรูป ทานสมุนไพรแล้วฟื้นฟูตน ให้ร่างกายทนต่ออาการได้ ไม่ใช่ให้ไม่มีอาการ ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์อะไรเลย

หลายคนเลยพาลโทษ ทานสมุนไพรแล้วเจ็บอย่างนั้น ปวดอย่างนี้ คันตรงนั้น .... มากมาย ทั้งที่แท้จริงนั่นคืออาการของโรค ไม่ใช่เป็นเพราะสมุนไพร

ย้อนกลับมาถึงตัวกระทำ เมื่อในอดีตสร้างไว้ คงแก้อะไรไม่ได้ แต่อนาคต นั้นเราท่านมีโอกาสเขียนเองได้ นั่นแหละความต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์

เมื่อผลแห่งตัวกระ่ทำ ที่ให้สุขให้ทุกข์แก่ผู้อื่น จักย้อนมายังตน เมื่อกระทำสิ่งใด ก็อยากให้ผลเกิดแก่สรรพสัตว์ เป็นธรรมดา เพื่อให้มีผลย้อนมายังตนนั่นเอง

การกระทำใดๆ จึงมิใช่เพียงแค่ทำแล้วยังผล ไม่ใช่เอาเงินใส่ซองถวาย สังฆทานใส่ถัง ถวายแล้วจบ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ต้องตามไปดูด้วยว่า คนที่รับรับไปแล้วทำอะไร

หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนอดีตสมัยถ้ำกระบอก ที่แม่ชีเมี้ยนทรงทำหน้าที่จัดอาหารให้พระ เป็นกิจวัตร

วันหนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์ถามแม่ชีเมี้ยนว่่า พระไม่มีอาหารจะฉันแล้ว

แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ไปที่ผักเป็นเข่งที่คนเอามาถวาย หากแต่สมัยก่อนความกันดารยังมีมาก ผักเข่งนั้นก็เริ่มเน่าเสีย ด้วยไม่มีตู้เย็นเก็บรักษา

หลวงพ่อนิพนธ์ตอบว่า ผักเข่งนั้นมันเน่าแล้ว จะทานได้อย่างไร

แม่ชีเมี้ยนก็ให้ยกผักเข่งนั้นมา แล้วใช้มีดเล็กๆ หยิบผักออกมาทีละชิ้น ตัดส่วนที่เน่าเสียทิ้งไป เหลือแต่ส่วนดีๆ ทำเช่นนั้นจนหมดเข่ง ได้ผักที่มีสภาพดี มาทำอาหารให้พระกว่าเจ็ดสิบรูปได้ทาน

แล้วทรงตรัสสอนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ผู้ทำนำผักมาถวาย แล้วก็ไปรอบุญที่บ้าน แต่มันจะเป็นบุญไปได้อย่างไร คนผู้นั้นก็เสมือน นาแล้งรอฝน สิ่งที่ทำไม่เป็นผล หากท่านนำฝักของเขาไปทิ้งเสียหมด

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อเราท่านรักตัวกระทำขอตน อย่างให้เป็นผล ก็ต้องรักษาตัวกระทำของผู้อื่นให้เป็นผลด้วยเช่นกัน

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พระของพระพุทธเจ้า จึงยากที่จะเป็นเครื่องอัฐบริขาร ยิ่งหากของนั้นเป็นของพ่อแม่ด้วยแล้ว จีวร ใส่จนขาดแล้วขาดอีก ปะแล้วปะอีก จึงเป็นที่มาของฝืนนาบนจีวร ก็ด้วยอยากให้ตัวกระทำของคนผู้ให้นั้น เป็นบุญมากที่สุดนั่นเอง

เราท่านจึงควรรักษาตัวกระทำของตน แลของผู้อื่นให้เป็นผล นี่แลจึงต้องอาศัยเมตตาธรรม เป็นสติ มิฉะนั้น เราท่านก็จะถูกวัตถุทับตาย เสมือนผู้ที่ทำตนให้คนนับถือ แล้วนำของมาให้ ที่เห็นทั่วไปนั่นแล แล้วไม่รู้ว่า ในเมื่อตนทำความดี มีวัตรปฏิบัติ แล้วทำไมจึงเป็นโรค

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า เห็นช้อนตก ก็เก็บมาล้าง นำมาใช้ เจ้าของเขาจะได้บุญอีก เห็นน้ำหยด ก็ปิดก๊อก นี่แลใช้ตาทำบุญ เป็นโรคตา มันก็หายได้

ก็แล้วเราท่านจะไปกันอย่างไรหนอ คนปลูก คนรดน้ำ คนดูแลสถานที่ เขาทำให้ ตัวเราท่านมาถึง ไม่ช่วยก็พอทน แต่เล่นทำลายเลย จะปฏิเสธสักฉันใด ฟ้าดินก็บอกว่า นี่เจตนาทำลายตัวกระทำของผู้อื่น ต้องคดีอุปมาฆ่าคนตาย เพราะเมื่อไม่ยังผล คนที่สร้างที่ทำ ก็ไร้บุญไปเกื้อหนุน และต้องเสียชีวิตลงไป ด้วยการกระทำของเราทาน

ศาสตร์สอนให้คนเป็นปราชญ์ แลปราชญ์ย่อมไม่ทำสิ่งที่ทำลายตน อ.อร่าม จึงมักกล่าวเสมอว่า ทำผิดที่อื่น ผิดหนึ่งก็ผลหนึ่ง แต่สถานที่นี้ ทำถูกทำผิด ผลมันทวีคูณมหาศาล ใครอยากทำตามนิสัยอะไร ก็ทำไป แล้วดูผล

หลายคนมาบ่น ทานมาตั้งนานไม่หายสักที ก็จะหายได้อย่างไร เล่นทำลายตัวกระทำผู้อื่นทุกครั้งไป ไม่ต้องมาก แค่รับสมุนไพรไป กินทิ้งกินขว้าง อันไหนไม่ชอบก็ไม่เอา ไม่กิน ทิ้ง เพราะได้มาฟรี ... แม่ชีเมี้ยนจึงย้ำหนักหนา จำไว้น่ะ "ตัวกระทำไม่ตาย ทำสักฉันใดไม่ตายเลย ทำอย่างไรได้อย่างนั้น"

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44